ยํ้าเนื้อมะเขือเปราะ
: ส่วนผสม และเครื่องปรุง ::
1. เนื้อวัวไม่ติดมัน (สันใน) 150 กรัม <------- แต่วันนี้พิมใช้ส่วนอื่นแทน เพราะมีอยู่ในตู้เย็น ไม่ต้องไปซื้อใหม่
2. ตะไคร้อวบๆ 2 ต้น
3. ใบสะระแหน่เด็ดแล้ว 20 ใบ
4. ใบมะกรูดอ่อน 3 ใบ
5. หอมใหญ่ 1/4 ถ้วย
6. มะเขือเปราะอ่อนๆ 2 ลูก
7. รากผักชี 3 ราก
8. กระเทียมไทย 4-5 กลีบ
9. พริกขี้หนูสวน (เน้นสีแดง) 25-40 เม็ด <---------- ชอบเผ็ดมากใส่มาก เผ็ดน้อยใส่น้อย
10. น้ำตาลทรายขาว 1 ชต.
11. น้ำปลาดี 2 ชต.
12. น้ำมะนาว 3 ชต.
14. เกลือป่น 1 ชช.
2. ตะไคร้อวบๆ 2 ต้น
3. ใบสะระแหน่เด็ดแล้ว 20 ใบ
4. ใบมะกรูดอ่อน 3 ใบ
5. หอมใหญ่ 1/4 ถ้วย
6. มะเขือเปราะอ่อนๆ 2 ลูก
7. รากผักชี 3 ราก
8. กระเทียมไทย 4-5 กลีบ
9. พริกขี้หนูสวน (เน้นสีแดง) 25-40 เม็ด <---------- ชอบเผ็ดมากใส่มาก เผ็ดน้อยใส่น้อย
10. น้ำตาลทรายขาว 1 ชต.
11. น้ำปลาดี 2 ชต.
12. น้ำมะนาว 3 ชต.
14. เกลือป่น 1 ชช.
:: วิธีทำ ::
เริ่มต้น ... ก็มาดูที่เนื้อวัวกันก่อนนะคะ
เนื้อวัวเนี่ย ถ้าเลือกได้ ให้ใช้สันในค่ะ มันจะนุ่มหน่อย เคี้ยวง่าย ..... ได้มาแล้วไปล้างน้ำสักนิดค่ะ แล้วทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ ก็นำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ใหญ่หน่อย (กว้าง*ยาว ประมาณ 2 เท่าของที่เราหั่นไว้แกง) .. แล้วก็พักเอาไว้ก่อน (ในรูปมีบางชิ้นหั่นหนาไปหน่อย เพราะว่าไปเอาเนื้อวัวที่หั่นไว้แกง มาผสม ><")
จากนั้นก็มาทำน้ำยำกันค่ะ ด้วยการหั่นรากผักชี - ปอกเปลือกกระเทียม และก็เตรียมพริกขี้หนูเอาไว้
แล้วก็โขลกทุกอย่างรวมดัน (ใส่รากผักชีไปก่อน โขลกให้แหลก ๆ ส่วนพริก กระเทียมใส่ทีหลัง โขลกหยาบๆ)
โขลกเสร็จ .... ก็มาปรุงน้ำยำกัน ด้วยการผสมน้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาว และเกลือเข้าด้วยกัน (ไม่มีภาพตอนใส่เกลือนะคะ - ลืมถ่ายมา) คนจนน้ำตาล และเกลือละลายดี ชิมรสตามชอบ (ออกเปรี้ยว เค็ม หวานนิ๊ดๆ) ... แล้วก็ค่อยเติมพริกโขลกลงไป เป็นอันว่าทำน้ำยำเสร็จเรียบร้อย
สุดท้ายก็หั่นส่วนผสมอื่น ๆ ที่เป็นผักเอาไว้ค่ะ อย่างตะไคร้ ก็เอาแต่ส่วนขาว ๆ - ใบมะกรูดก็เอาใบที่อ่อนๆ - มะเขือเปราะก็เอาผลอ่อนๆ เช่นกันค่ะ (อันนี้ซื้อมาสิบกว่าลูก ใช้ได้แค่ 3 ลูกค่ะ - -") - ส่วนหอมใหญ่ก็ซอยบาง ๆ และสะระแหน่ก็เด็ดเป็นใบ ๆ เอาไว้
เมื่อเตรียมเครื่องทุกอย่างเสร็จ ก็มาลงมือทำกันค่ะ .......... เริ่มต้นด้วยการตั้งกระทะเปล่า ๆ บนเตาไฟ พอกระทะร้อนจัดก็ใส่เนื้อวัวที่เราหั่นเตรียมไว้แล้วลงไปค่ะ (ไม่ต้องใส่น้ำมัน ไม่ต้องใส่น้ำ) .... แล้วผัดไปผัดมา พอเนื้อสุกนิดหน่อย (ยังมีสีแดงเรื่อๆ ก็ใช้ได้) <---- หรือถ้าใครชอบ rare กว่านี้ ก็ตามชอบเลยนะคะ ....... ตักขึ้นใส่กาละมังสำหรับผสมยำไว้เลยค่ะ
แล้วก็ใส่ผักยำทั้งหมด (ยกเว้นใบสะระแหน่) ลงไป ตามด้วยน้ำยำ
แล้วก็ใช้ส้อม 2 คัน เคล้าโย่ง ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันดี (ไม่ใช้ทัพพี เพราะมันจะหนักมือไป ทำให้ผักช้ำ) ..... ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สุดท้ายก็ตักขึ้นใส่จานค่ะ ....... ทานกับใบสะระแหน่ , ใบทองหลาง , ใบชะพู หรือว่าผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ... อร่อยมากมาก แถมดีต่อสุขภาพสุด ๆ ไปเลยค่ะ ... ยังไงถ้าเพื่อน ๆ สนใจ ก็ลองเอาไปทำดูกันนะคะ
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::
- สับปะรด พันธุ์ปัตตาเวียน้ำหนักประมาณ 2 กิโล ... 1/2 ลูก
- พริกแกงคั่ว 1.5 ชต.
- หอยแมลงภู่แห้ง 1/2 ถ้วย
- กุ้งแห้งป่น 3 ชต.
- หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
- หางกะทิ 1.5 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 1.5 ชต.
- เกลือป่น 1.5 ชช.
- น้ำมะขามเปียกคั้นข้นๆ 1.5 ชต.
- พริกแกงคั่ว 1.5 ชต.
- หอยแมลงภู่แห้ง 1/2 ถ้วย
- กุ้งแห้งป่น 3 ชต.
- หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
- หางกะทิ 1.5 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 1.5 ชต.
- เกลือป่น 1.5 ชช.
- น้ำมะขามเปียกคั้นข้นๆ 1.5 ชต.
หมายเหตุ สูตรที่พิมให้ไว้สำหรับเมนูนี้และทุกเมนู ขอให้คิดซะว่าเป็นแนวทางนะคะ เพราะเพื่อนๆ อาจจะไม่ได้ชอบรสชาติเดียวกันพิม ดังนั้นแล้วหากเพื่อน ๆ ชอบรสแบบไหนก็ปรับเพิมลดส่วนผสมและเครื่องปรุงเอาได้ตามใจชอบเลยนะคะ
:: วิธีทำ ::
อันดับแรกเราก็มาจัดการกับสับปะรดกันก่อนนะคะ ...... สำหรับสับปะรดที่เราจะเอามาแกงเนี่ย ถ้าเลือกได้......หากเป็นสับปะรดไทย พิมแนะนำพันธุ์ปัตตาเวียนะคะ เพราะเนื้อเค้าจะนุ่ม ไม่กรอบ เหมาะกับการเอามาทำแกงสับปะรดค่ะ
สับปะรดลูกในภาพมีน้ำหนัก 2 โล แต่พิมไม่ได้ใช้ทั้งหมด พิมใช้แค่ประมาณครึ่งลูกเท่านั้นค่ะ
เทคนิคในการปอกสับปะรดของพิมก็คือ มีดต้องคมมาก ๆ ค่ะ ....... ให้ตัดส่วนหัวของสับปะรดทิ้งไปก่อน (ตามลูกศรสีแดง) จากนั้นจับสับปะรดตั้งบนเขียง แล้วค่อยๆ เอามีดเฉือนเปลือกสับปะรดออกให้หมด เฉือนเสร็จก็ทำการควั่นตา และตัดจุกที่เหลืออยู่ทิ้งไป ....... ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ
จากนั้นนำสับปะรดไปล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ แล้วค่อยนำมาสับไว้หยาบ ๆ อย่างในภาพด้านล่างค่ะ
สับเสร็จก็บีบเอาแต่เนื้อสับปะรดเก็บไว้ (บีบหมาด ๆ ไม่ต้องให้แห้งมาก) ให้ได้ประมาณ 1.5 ถ้วย (ถ้วยตวง) ที่เหลือก็อาจจะใส่กล่องแช่ฟรีสไว้แกงในครั้งถัดไป ส่วนน้ำสับปะรดสามารถเก็บไว้ทำพันซ์ ทำน้ำสับปะรด หรือไว้แช่พวกเครื่องเงินก็ได้อ่ะค่ะ ^_^
ต่อมาก็มาดูที่หอยแมลงภู่แห้งกันนะคะ ....... สำหรับหอยแมลงภู่แห้งเนี่ย วิธีการเตรียมคือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำไว้สัก 5 นาที เพื่อให้นุ่มและให้ความเค็มออกไปบ้าง ..... แล้วก็บีบให้แห้ง พักไว้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อนๆ หาหอยแห้งไม่ได้ จะใช้หอยสด หรือกุ้งสดแทนได้นะคะ ตามที่สะดวกเลย แต่พิมว่ากลิ่นหอยแมลงภู่แห้งจะเข้ากับแกงสับปะรดมากที่สุดเลยอ่ะค่ะ (ความเห็นส่วนตัวนะ)
กุ้งแห้ง ......... พิมใช้กุ้งแห้งตัวใหญ่นะคะ ล้างน้ำให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดด้วยเครื่องปั่น แต่ถ้าเพื่อน ๆ ไม่มีเครื่องปั่น ก็ใช้วิธีแช่น้ำให้นิ่ม แล้วนำไปโขลกในครกจนกระทั่งป่นก็ได้เช่นกันอ่ะค่ะ
ส่วนน้ำมะขาม ..... เน้นว่าขอแบบข้น ๆ นะคะ ถ้าใครไม่รู้ว่าน้ำมะขามคั้นยังไง ได้มายังไง แนะนำให้ไปดูในเมนู "ยำหัวปลีเผากับไก่" อ่ะค่ะ หรือถ้าไม่สะดวกคั้นเอง รู้สึกว่าจะมีน้ำมะขามแบบพาสเจอร์ไรซ์ขายตามซุปเปอร์มาร์ตเกตใหญ่ ๆ หลายแห่งด้วยนะคะ
และเมื่อเตรียมเครื่องต่างๆ เสร็จแล้วก็มาลงมือทำกันดีกว่าค่ะ เริ่มด้วยตั้งกระทะบนเตาไฟ ใส่หัวกะทิลงไป 1/4 ถ้วย เปิดไฟกลาง รอจนกะทิเดือดและแตกมันก็ใส่พริกแกงลงไปผัดให้หอม ซึ่งระหว่างผัดหากในกระทะแห้งไป ก็สามารถเติมหัวกะทิได้เป็นระยะ ๆ นะคะ (แต่ให้เหลือหัวกะทิไว้ราดในตอนสุดท้ายบ้าง)
พอพริกแกงส่งกลิ่นหอมและแตกมันสวยแล้วอย่างในรูปด้านบน ก็ใส่กุ้งแห้งลงไป ผัด 2-3 ทีให้กุ้งแห้งเข้ากับพริกแกง ก็เติมหางกะทิลงไปค่ะ ตามด้วยหอยและสับปะรด
เพิ่มเติม :: หางกะทิที่ใช้สำหรับแกงสับปะรด จะต้องเป็นหางกะทิที่ค่อนข้างข้นนิดนึงนะคะ เพราะว่าพอเราใส่สับปะรดลงไปในน้ำแกง น้ำจากสับปะรดจะออกมาปนในน้ำแกง ทำให้น้ำแกงใสขึ้น ดังนั้นถ้าหางกะทิใส่อยู่แล้ว ก็จะยิ่งใสเข้าไปอีก แต่ถ้าหางกะทิไม่ใส่มาก เมื่อเจอกับสับปะรดก็จะพอดีกันอ่ะค่ะ
คนพอเข้ากัน หรี่ไฟลงเป็นไฟอ่อน แล้วทิ้งไว้สัก 10 นาที เพื่อให้รสชาติจากสับปะรดออกมาอยู่ในน้ำแกง ก็ทำการตักน้ำแกงขึ้นมาชิมรสชาติสักหน่อยนึงว่ารสออกไปทางประมาณไหน (ขึ้นกับความ เปรี้ยวหวานของสับปะรด - และความเค็มของหอย กุ้งแห้งที่ใช้) แล้วก็ทำการปรุงเพิ่มตามใจชอบเลยค่ะ ซึ่งของพิมก็จะปรุงเพิ่มด้วยน้ำตาลปี๊บ 1.5 ชต. เกลือป่นธรรมดา ที่ไม่ใช่เกลือไอโอดีน 1.5 ชช. และก็น้ำมะขามเปียกอีก 1.5 ชต. ก็จะได้รสแกงที่พอดีเลยอ่ะค่ะ ....... พอได้รสที่ใช่แล้ว ก็ราดหัวกะทิที่เหลือลงไป
รอเดือดอีกที ปิดไฟเตาได้เลยค่ะ
แล้วก็ตักใส่ชาม เสริฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ ปลาเค็มสักชิ้น ........ เท่านี้ก็ไม่อยากเลิกทานแล้วอ่ะค่ะ ^__^
ยังไงไปลองทำกันดูนะคะ ขั้นตอนเหมือนจะเยอะ วิธีทำเหมือนจะยุ่งยาก แต่พอลงมือทำจริงแล้วจะรู้ว่าง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่ในเมนูถัดไป ซึ่งพิมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ^____^ .............. นะคะ
เเหล่งทีมาhttps://www.pim.in.th
น่าสนใจคะ
ตอบลบน่าลองคะ
ตอบลบเมนูนี่ของโปรดเลยค่ะ
ตอบลบ